ในแต่ละปีมักจะมีรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาต่อยอดจากรุ่นก่อนหน้าให้ดีขึ้น รวมถึงแก้ปัญหาที่ผู้ใช้งานพบเจอ แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึง Zoom Series กองทัพรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่จาก Nike นั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนที่แล้ว และตอนนี้ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยกันไปแล้วด้วย เชื่อว่าแฟนๆ ThaiRun หลายท่านก็คงได้จับจองมาเป็นเจ้าของ และได้สัมผัสความใหม่กันไปแล้ว ในบทความนี้เราจะมาสรุปให้กับทุกท่านอีกครั้ง เพื่อเป็นการทำความรู้จักรองเท้าวิ่งในแต่ละรุ่นมากขึ้น เอาล่ะ ไปลุยกันเลย

สำหรับ Nike Zoom Series ของปี 2019 นี้ จะใช้สีหลักเป็นสีเขียวนีออน ซึ่งเป็นสีที่ดวงตามนุษย์ มองเห็นได้เร็วที่สุด ซึ่งทางทีมออกแบบของไนกี้ได้เรียกสีนี้ว่า Nike Phantom Glow มาจากชื่อสารเคมีที่นำมาผสมผสานจนได้เป็นสีนี้ขึ้นมา และจะใช้ในรองเท้าวิ่ง Nike ZoomX Vaporfly NEXT% ส่วนรุ่นที่เหลือก็จะใช้โทนสีเขียวนีออนนี้เช่นกัน แต่จะแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย โดยมีการจัดแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่มหลัก รองเท้าวิ่งสำหรับซ้อม และรองเท้าวิ่งสำหรับแข่ง

Nike Air Zoom Pegasus 36

สำหรับตระกูล Pegasus ถือเป็นรองเท้าวิ่งยอดนิยมกันเลย นำมาใส่ซ้อมได้ทุกวัน สำหรับรุ่นใหม่ Nike Air Zoom Pegasus 36 ได้มีการปรับเปลี่ยนลายและเพิ่มช่องระบายอากาศให้กับหน้าผ้า Engineered Mesh เพื่อให้มีการระบายอากาศในขณะวิ่งได้ดีขึ้น รวมถึงการปรับลิ้นรองเท้าและรอบๆ ข้อเท้าให้บางลงเพื่อความสบายในการสวมใส่ อีกทั้งยังคงระบบเชือก Flywire ที่จะช่วยให้ช่วงกลางเท้ากระชับมั่นคงอยู่ตลอดเวลา ส่วนพื้นชั้นกลางยังคงระบบเดิมจาก Pegasus 35 ที่ใช้โฟม Cushlon และแผ่น Zoom Air เต็มความยาวเท้าด้านใน เพื่อการวิ่งที่นุ่มสบาย รองรับแรกกระแทกและยังมีแรงส่งคืนได้ดี จึงเหมาะเป็นรองเท้าวิ่งสำหรับใส่ซ้อมได้ในทุกวัน

Nike Zoom Pegasus Turbo 2

สำหรับรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 2 แล้ว โดยรุ่นก่อนหน้านั้นได้นำโครงสร้างของ Nike Air Zoom Pegasus 35 มาปรับปรุง แต่ในรุ่นนี้ไม่ได้นำโครงสร้างของ Pegasus 36 มาแล้ว แต่เป็นการปรับปรุงจากรุ่นแรกเลย โดยมีการปรับเปลี่ยนจากหน้าผ้าตาข่าย 2 ชั่นมาเป็นผ้า Mesh ที่มีความแข็งแรงมากกว่าเดิม ไม่มีระบบเชือก Flywire ตรงกลางเท้าแต่เปลี่ยนระบบการร้อยเชือกแบบใหม่เพิ่มแถวรูร้อยเชือกเข้ามาอีกแถวแทน ตัวลิ้นรองเท้าและรอบๆ ข้อเท้าปรับให้บางลงและมีรูปทรงที่บางลงทั้งหมด พื้นชั้นกลางและพื้นชั้นนอกยังคงยกมาจากรุ่นแรกไม่ว่าจะเป็นระบบโฟม 2 ชั้น โฟม ZoomX ที่ใช้ในรองเท้าวิ่งระดับท็อปอย่าง Vaporfly 4% และ Vaporfly NEXT% ที่มีความนุ่ม เด้ง น้ำหนักเบา มีแรงส่งคืนได้ดี และ โฟม React ที่มีความนุ่ม เด้ง อยู่ชั้นล่าง ด้วยการออกแบบตั้งแต่รุ่นแรก รองเท้าวิ่งรุ่นนี้จึงเป็นรองเท้าซ้อมสำหรับวันที่ต้องการทำความเร็วได้ เพราะมีน้ำหนักเบา แต่ก็สามารถนำมาใส่ซ้อมสำหรับวันที่วิ่งสบายๆ ได้เช่นเดียวกัน

รองเท้าวิ่งทำความเร็วสำหรับวันแข่งขัน

Nike Zoom Fly 3

ในรุ่นนี้มีการปรับเปลี่ยนจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Nike Zoom Fly Flyknit ไปพอสมควรเลย โดยเปลี่ยนมาใช้หน้าผ้า Vaporweave ที่มีน้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ แห้งเร็ว แบบเดียวกับที่ใช้อยู่ใน Vaporfly NEXT% แต่ในรุ่นนี้จะเป็นผ้า 2 ชั้น ด้านในจะมีผ้าอีกชั้นซ้อนทับอยู่ ตัวทรงรองเท้าจะเป็นแนวบูทตี้ ไม่มีลิ้นรองเท้า เป็นลักษณะเหมือนสวมใส่ถุงเท้าเพิ่มอีกชั้นแล้วมัดเชือกออกวิ่งได้เลย พื้นชั้นกลางยังคงใช้โฟม React และมีพระเอกอย่างแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์เต็มความยาวเท้าอยู่ด้านใน ช่วยเพิ่มรอบขาสำหรับทำความเร็วได้อย่างดี และยังมีการซัพพอร์ตรองรับแรงกระแทกจากโฟม React ในคราวเดียวกัน พื้นชั้นนอกใช้ยางเสริมเข้ามามากขึ้น ทำให้มีความทนทานกว่ารุ่นที่แล้ว และในรุ่นนี้มีการลดดรอปลงจาก 10 มม. เหลือ 8 มม. เพื่อการวิ่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย ทางไนกี้ยังบอกว่ารองเท้า Nike Zoom Fly 3 ยังเป็นรองเท้าวิ่งที่เร็วที่สุดอีกคู่นึง จึงเหมาะแก่การนำมาใส่แข่งขันหรือจะนำมาใส่ซ้อมสำหรับวันที่ต้องการทำความเร็วก็ได้